วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อุปกรณ์ไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศ

 

มอเตอร์และคาปาซิเตอร์ในเครื่องปรับอากาศ

มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับคาปาซิเตอร์มอเตอร์(Capacitor motor)

คาปาซิสตอร์เตอร์เป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส ที่มีลักษณะคล้ายสปลิทเฟสมอเตอร์มากต่างกันตรงที่มีคาปาซิเตอร์เพิ่มขึ้นมา ทำให้มอเตอร์แบบนี้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าสปลิทเฟสมอเตอร์ คือมีแรงบิดขณะสตาร์ทสูงใช้กระแสขณะสตาร์ทน้อยมอเตอร์ชนิดนี้มีขนาดตั้งแต่ 1/20 แรงม้าถึง 10 แรงม้า มอเตอร์นี้นิยมใช้งานเกี่ยวกับ ปั๊มนํ้า เครื่องอัดลม ตู้แช่ ตู้เย็น ฯลฯ

ส่วนประกอบของคาปาซิเตอร์มอเตอร์โครงสร้างของคาปาซิเตอร์มอเตอร์ มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เหมือนกับแบบสปลิทเฟส
เกือบทุกอย่าง คือ
1. โรเตอร์เป็นแบบกรงกระรอก
2. สเตเตอร์ประกอบด้วยขดลวด 2 ชุด คือ ชุดสตาร์ทและชุดรัน
3. ฝาปิดหัวท้ายประกอบด้วย ปลอกทองเหลือง ( Bush ) หรือตลับลูกปืน ( Ball bearing ) สำหรับรองรับเพลา
4. คาปาซิเตอร์หรือคอนเดนเซอร์ ( Capacitor or Condenser

1. โรเตอร์เป็นแบบกรงกระรอก

2. สเตเตอร์ประกอบด้วยขดลวด2 ชุด คือ ชุดสตาร์ทและชุดรัน


3. ฝาปิดหัวท้ายประกอบด้วย ปลอกทองเหลือง( Bush )
หรือตลับลูกปืน( Ball bearing ) สำหรับรองรับเพลา


4. คาปาซิเตอร์หรือคอนเดนเซอร์ ( Capacitor or Condenser)
ที่ใช้กับมอเตอร์แบบเฟสเดียวมี 3 ชนิดคือ
1. แบบกระดาษหรือPaper capasitor
2. แบบเติมนํ้ามันหรือ Oil -filled capasitor
3. แบบนํ้ายาไฟฟ้าหรือElectrolytic capasitor


ชนิดของคาปาซิเตอร์มอเตอร์

คาปาซิเตอร์มอเตอร์แบ่งออกเป็น 3 แบบคือ

1.คาปาซิเตอร์สตาร์ทมอเตอร์ ( Capacitor start motor )
2..คาปาซิเตอร์รันมอเตอร์ ( Capacitor run motor )
3.คาปาซิเตอร์สตาร์ทและรันมอเตอร์ ( Capacitor start and run motor )

    

 

Over Load Relay

โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load relay)

โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load relay)

โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Over Load relay) คืออะไร

โอเวอร์โหลด (Over Load relay) เป็นอุปกรณ์ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้า เกินกำลังหรือป้องกันมอเตอร์ ไม่ให้เกิดการเสียหาย เมื่อมีกระแสไหลเกินพิกัด โดยมีส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ของโอเวอร์โหลดรีเลย์ ดังนี้
1. ปุ่มปรับกระแส(RC.A)
2. ปุ่มทริพ(TRIP)
3. ปุ่มรีเซ็ท(RESET)
4. จุดต่อไฟเข้าเมนไบมีทอล
5. จุดต่อไฟออกจากเมนไบมีทอล
6. หน้าสัมผัสช่วยปกติปิด(N.O.)
7. หน้าสัมผัสช่วยปกติเปิด(N.C.)
overload_relay

หลักการทำงาน
โอเวอร์โหลดมี ขดลวดความร้อน (Heater) พันกับแผ่นไบเมทัล (Bimetal)(แผ่นโลหะผลิตจากโลหะต่างชนิดกัน) เชื่อมติดกัน เมื่อได้รับความร้อนแผ่นโลหะจะโก่งตัว ขดลวดความร้อนซึ่งเป็นทางผ่านของกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟไปมอเตอร์ เมื่อกระแสไหลเข้าสูงในระดับค่าหนึ่ง ส่งผลขดลวดความร้อนทำให้แผ่นไบเมทัลร้อน และ โก่งตัว ดันให้หน้าสัมผัสปกติปิด N.C. ของโอเวอร์โหลดที่ต่ออนุกรมอยู่กับแผงควบคุมเปิดวงจร ตัดกระแสไฟฟ้า จากคอล์ยแม่เหล็กของคอนแทกเตอร์ ทำให้หน้าสัมผัสหลัก (Main Contact) ของคอนแทกเตอร์ ปลดมอเตอร์ออกจากแหล่งจ่าย ไฟ ป้องกันมอเตอร์ความเสียหาย จากไฟเกินได้

ชนิดของ Overload Relay

โอเวอร์โหลดรีเลย์แบบธรรมดา คือ เมื่อแผ่นไบเมทัลงอไปแล้วจะกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม เมื่อเย็นตัวลงเหมือนในเตารีด
ภาพ Overload Relay

โอเวอร์โหลดรีเลย์แบบที่มีรีเซ็ท (Reset) คือ เมื่อตัดวงจรไปแล้ว หน้าสัมผัสจะถูกล็อกเอาไว้ ถ้าต้องการจะให้วงจรทำงานอีกครั้ง ทำได้โดยกดที่ปุ่ม Reset ให้หน้าสัมผัสกลับมาต่อวงจรเหมือนเดิม
อุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม
สัญลักษณ์ แบบมี Reset
อุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงาน โอเวอร์โหลด รีเลย์
เมื่อไฟเกิน หน้าสัมผัสเปิด ต้องกด Reset

Magnetic Contactor Relay

แมกเนติกคอนแทกเตอร์ รีเลย์

แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) และ รีเลย์(Relay)

แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) และ รีเลย์(Relay)



แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
มกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) หรือแมกเนติกสวิทซ์ (Magnetic Switch)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดต่อวงจรไฟฟ้า ในการปิดเปิดของหน้าสัมผัสนั้นอาศัยจะอำนาจแรงแม่เหล็ก สามารถประยุกต์ใช้กับวงจรควบคุมต่างๆ เช่น วงจรควบคุมมอเตอร์ เป็นต้น
ส่วนประกอบสำคัญของแมกเนติกคองแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
1. Coil หรือ ขดลวดสำหรับสร้างสนามแม่เหล็ก
2. Spring เป็นสปริงสำหรับผลัก Moving Contact ออกเมื่อไม่มีกระแสไปเลี้ยง Coil
3. Moving Core เป็นแกนเหล็กที่สามารถเคลื่อนที่ได้
4. Contact หรือ หน้าสัมผัส เป็นส่วนประกอบที่ใช้ตัดต่อวงจรไฟฟ้า
5. Stationary Core เป็นแกนเหล็กที่อยู่กับที่
หลักการทำงานของแมกเนติกคองแทกเตอร์ (Magnetic Contactor)
เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังขดลวดสนามแม่เหล็ก(Solidnoid) ที่ขากลางของแกนเหล็กจะสร้างสนามแม่เหล็กที่แรงสนามแม่เหล็กจะสามารถชนะแรงสปริงได้ ดึงให้แกนเหล็กชุดที่เคลื่อนที่ (Moving Contact) เคลื่อนที่ลงมาพร้อมกับหน้าสัมผัส คอนแทคทั้งสองชุดจะเปลี่ยนสภาวะการทำงานคือ คอนแทคปกติปิดจะเปิดวงจรจุดสัมผัสออก และคอนแทคปกติเปิดจะต่อวงจรของจุดสัมผัส เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปยังขดลวด สนามแม่เหล็กคอนแทคทั้งสองชุดก็จะกลับไปสู่สภาวะเดิม ดังรูปข้างล่าง
การทำงานของรีเลย์
เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์มีหลักการทำงานคล้ายกับ ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโซลินอยด์ (solenoid) หรือสามารถเรียกว่าเป็นแมกเนติกคอนแทกชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ รีเลย์ใช้ในการควบคุมวงจร ไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย รีเลย์เป็นสวิตช์ควบคุมที่ทำงานด้วยไฟฟ้า แบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 2 ประเภทคือ
  • รีเลย์กำลัง (power relay)หรือมักเรียกกันว่าคอนแทกเตอร์ (Contactor or Magneticcontactor)ใช้ในการควบคุมไฟฟ้ากำลัง มีขนาดใหญ่กว่ารีเลย์ธรรมดา
  • รีเลย์ควบคุม (control Relay) มีขนาดเล็กกำลังไฟฟ้าต่ำ ใช้ในวงจรควบคุมทั่วไปที่มีกำลังไฟฟ้าไม่มากนัก หรือเพื่อการควบคุมรีเลย์หรือคอนแทกเตอร์ขนาดใหญ่ รีเลย์ควบคุม บางทีเรียกกันง่ายๆ ว่า "รีเลย์"
การแบ่งชนิดของรีเลย์สามารถแบ่งได้ 11 แบบ คือ
ชนิดของรีเลย์แบ่งตามลักษณะของคอยล์ หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Application) ได้แก่รีเลย์ดังต่อไปนี้
รีเลย์กระแส (Current relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยใช้กระแสมีทั้งชนิดกระแสขาด (Under- current) และกระแสเกิน (Over current)
รีเลย์แรงดัน (Voltage relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยใช้แรงดันมีทั้งชนิดแรงดันขาด (Under-voltage) และ แรงดันเกิน (Over voltage)
รีเลย์ช่วย (Auxiliary relay) คือ รีเลย์ที่เวลาใช้งานจะต้องประกอบเข้ากับรีเลย์ชนิดอื่น จึงจะทำงานได้
รีเลย์กำลัง (Power relay) คือ รีเลย์ที่รวมเอาคุณสมบัติของรีเลย์กระแส และรีเลย์แรงดันเข้าด้วยกัน
รีเลย์เวลา (Time relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4แบบ คือ
- รีเลย์กระแสเกินชนิดเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time over current relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาทำงานเป็นส่วนกลับกับกระแส
- รีเลย์กระแสเกินชนิดทำงานทันที (Instantaneous over current relay) คือรีเลย์ที่ทำงานทันทีทันใดเมื่อมีกระแสไหลผ่านเกินกว่าที่กำหนดที่ตั้งไว้
- รีเลย์แบบดิฟฟินิตไทม์เล็ก (Definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาการทำงานไม่ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของกระแสหรือค่าไฟฟ้าอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานขึ้น
- รีเลย์แบบอินเวอสดิฟฟินิตมินิมั่มไทม์เล็ก (Inverse definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยรวมเอาคุณสมบัติของเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time) และ แบบดิฟฟินิตไทม์แล็ก (Definite time lag relay) เข้าด้วยกัน
รีเลย์กระแสต่าง (Differential relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยอาศัยผลต่างของกระแส
รีเลย์มีทิศ (Directional relay) คือรีเลย์ที่ทำงานเมื่อมีกระแสไหลผิดทิศทาง มีแบบรีเลย์กำลังมีทิศ (Directional power relay) และรีเลย์กระแสมีทิศ (Directional current relay)
รีเลย์ระยะทาง (Distance relay) คือ รีเลย์ระยะทางมีแบบต่างๆ ดังนี้
- รีแอกแตนซ์รีเลย์ (Reactance relay)
- อิมพีแดนซ์รีเลย์ (Impedance relay)
- โมห์รีเลย์ (Mho relay)
- โอห์มรีเลย์ (Ohm relay)
- โพลาไรซ์โมห์รีเลย์ (Polaized mho relay)
- ออฟเซทโมห์รีเลย์ (Off set mho relay)
- รีเลย์อุณหภูมิ (Temperature relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้
- รีเลย์ความถี่ (Frequency relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานเมื่อความถี่ของระบบต่ำกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งไว้
- บูคโฮลซ์รีเลย์ (Buchholz ‘s relay) คือรีเลย์ที่ทำงานด้วยก๊าซ ใช้กับหม้อแปลงที่แช่อยู่ในน้ำมันเมื่อเกิด ฟอลต์ ขึ้นภายในหม้อแปลง จะทำให้น้ำมันแตกตัวและเกิดก๊าซขึ้นภายในไปดันหน้าสัมผัส ให้รีเลย์ทำงาน

อุปกรณ์Staet Reiay

อุปกรณ์สตาร์ทรีเลย์

อุปกรณ์สตาร์ทรีเลย์

ประเภทของรีเลย์

เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์โดยมีหลักการทำงานคล้ายกับ ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโซลินอยด์ (solenoid) รีเลย์ใช้ในการควบคุมวงจร ไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย รีเลย์เป็นสวิตช์ควบคุมที่ทำงานด้วยไฟฟ้า แบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 2 ประเภทคือ
  1. รีเลย์กำลัง (power relay) หรือมักเรียกกันว่าคอนแทกเตอร์ (Contactor or Magneticcontactor)ใช้ในการควบคุมไฟฟ้ากำลัง มีขนาดใหญ่กว่ารีเลย์ธรรมดา
  2. รีเลย์ควบคุม (control Relay) มีขนาดเล็กกำลังไฟฟ้าต่ำ ใช้ในวงจรควบคุมทั่วไปที่มีกำลังไฟฟ้าไม่มากนัก หรือเพื่อการควบคุมรีเลย์หรือคอนแทกเตอร์ขนาดใหญ่ รีเลย์ควบคุม บางทีเรียกกันง่าย ๆ ว่า "รีเลย์"

ชนิดของรีเลย์

การแบ่งชนิดของรีเลย์สามารถแบ่งได้ 11 แบบ คือ
ชนิดของรีเลย์แบ่งตามลักษณะของคอยล์ หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน (Application) ได้แก่รีเลย์ดังต่อไปนี้
  1. รีเลย์กระแส (Current relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยใช้กระแสมีทั้งชนิดกระแสขาด (Under- current) และกระแสเกิน (Over current)
  2. รีเลย์แรงดัน (Voltage relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยใช้แรงดันมีทั้งชนิดแรงดันขาด (Under-voltage) และ แรงดันเกิน (Over voltage)
  3. รีเลย์ช่วย (Auxiliary relay) คือ รีเลย์ที่เวลาใช้งานจะต้องประกอบเข้ากับรีเลย์ชนิดอื่น จึงจะทำงานได้
  4. รีเลย์กำลัง (Power relay) คือ รีเลย์ที่รวมเอาคุณสมบัติของรีเลย์กระแส และรีเลย์แรงดันเข้าด้วยกัน
  5. รีเลย์เวลา (Time relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ
    1. - รีเลย์กระแสเกินชนิดเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time over current relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาทำงานเป็นส่วนกลับกับกระแส
    2. - รีเลย์กระแสเกินชนิดทำงานทันที (Instantaneous over current relay) คือรีเลย์ที่ทำงานทันทีทันใดเมื่อมีกระแสไหลผ่านเกินกว่าที่กำหนดที่ตั้งไว้
    3. - รีเลย์แบบดิฟฟินิตไทม์เล็ก (Definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่มีเวลาการทำงานไม่ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของกระแสหรือค่าไฟฟ้าอื่นๆ ที่ทำให้เกิดงานขึ้น
    4. - รีเลย์แบบอินเวอสดิฟฟินิตมินิมั่มไทม์เล็ก (Inverse definite time lag relay) คือ รีเลย์ ที่ทำงานโดยรวมเอาคุณสมบัติของเวลาผกผันกับกระแส (Inverse time) และ แบบดิฟฟินิตไทม์แล็ก (Definite time lag relay) เข้าด้วยกัน
  6. รีเลย์กระแสต่าง (Differential relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานโดยอาศัยผลต่างของกระแส
  7. รีเลย์มีทิศ (Directional relay) คือรีเลย์ที่ทำงานเมื่อมีกระแสไหลผิดทิศทาง มีแบบรีเลย์กำลังมีทิศ (Directional power relay) และรีเลย์กระแสมีทิศ (Directional current relay)
  8. รีเลย์ระยะทาง (Distance relay) คือ รีเลย์ระยะทางมีแบบต่างๆ ดังนี้
    1. - รีแอกแตนซ์รีเลย์ (Reactance relay)
    2. - อิมพีแดนซ์รีเลย์ (Impedance relay)
    3. - โมห์รีเลย์ (Mho relay)
    4. - โอห์มรีเลย์ (Ohm relay)
    5. - โพลาไรซ์โมห์รีเลย์ (Polaized mho relay)
    6. - ออฟเซทโมห์รีเลย์ (Off set mho relay)
  9. รีเลย์อุณหภูมิ (Temperature relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้
  10. รีเลย์ความถี่ (Frequency relay) คือ รีเลย์ที่ทำงานเมื่อความถี่ของระบบต่ำกว่าหรือมากกว่าที่ตั้งไว้
  11. บูคโฮลซ์รีเลย์ (Buchholz ‘s relay) คือรีเลย์ที่ทำงานด้วยก๊าซ ใช้กับหม้อแปลงที่แช่อยู่ในน้ำมันเมื่อเกิด ฟอลต์ ขึ้นภายในหม้อแปลง จะทำให้น้ำมันแตกตัวและเกิดก๊าซขึ้นภายในไปดันหน้าสัมผัส ให้รีเลย์ทำงาน

 


วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

phdiagram เเละ ไซโครเเมตตริก

  1.ph diagram 

   
                                                    


                                                     
                                                    
                                                  
                    



ตัวอย่างที่ 2.1 เครื่องทำความเย็นที่ใช้วัฏจักรอัดไอมาตรฐาน ใช้น้ำยา R22 อุณหภูมิคอยล์ร้อน 35 C และคอยล์เย็น – 10 C เครื่องมีขนาด 50 Kw จงคำนวณหา
(ก) ปริมาณความเย็น (kJ/kg)
(ข) อัตราการไหลของสารทำความเย็นในระบบ (kg/s)
(ค) กำลังขับคอมเพรสเซอร์ (kW)
(ง) COP
(จ) อัตราการไหลเชิงปริมาตรวัดที่ทางดูดของคอมเพรสเซอร์
(ฉ) กำลังขับคอมเพรสเซอร์
ต่อกิโลวัตต์ของความเย็น (ช) อุณหภูมิทางด้านส่งของ คอมเพรสเซอร์


รูปที่ 2.4 แสดงความสัมพันธ์แรงดันกับเอนทัลปีของ R22

วิธีทำ จากไดอะแกรมของแรงดันและเอนทัลปีของ R22 อ่านค่า h ที่ของเหลวอิ่มตัว 35 C ซึ่ง h3 เท่ากับ h4 จะได้ค่า h ที่จุดต่าง ๆ ดังนี้
h1 = 401.6 kJ/kg
h2 = 435.2 kJ/kg h3=h4= 243.1 kJ/kg

() ปริมาณความเย็น (kJ/kg)
h1-h4 = 401.6-243.1 = 158.5 kJ/kg

() อัตราการไหลของสารทำความเย็นในระบบ (kg/s)
m
× = 50/158.5 = 0.315 kg/s

(ค) กำลังขับคอมเพรสเซอร์ (kW)
กำลังขับคอมเพรสเซอร์ = m×(h2-h1) = 0.315(435.2-401.6) = 10.6 kW

() COP
COP = ปริมาณความเย็น/กำลังขับคอมเพรสเซอร์ = 50/10.6 = 4.72

(จ) อัตราการไหลเชิงปริมาตรวัดที่ทางดูดของคอมเพรสเซอร์
จากตาราง R22 หรือ P-h ไดอะแกรม เราจะรู้ปริมาตรจำเพาะที่จุด 1 คือ 0.0654 m3/kg
อัตราการไหลเชิงปริมาตร = m×v× = (0.315)(0.0654) = 20.6 L/s

(ฉ) กำลังขับคอมเพรสเซอร์ต่อกิโลวัตต์ความเย็น กำลังขับคอมเพรสเซอร์ต่อกิโลวัตต์ของความเย็นจะเป็นส่วนกลับของสัมประสิทธิ์สมรรถนะ คือ
กำลังขับคอมเพรสเซอร์ต่อกิโลวัตต์ความเย็น
= กำลังขับคอมเพรสเซอร์/ปริมาณความเย็น
= 10.6/50 = 0.212 kW/kWref.
(ช) อุณหภูมิทางด้านส่งของ คอมเพรสเซอร์
อุณหภูมิทางด้านส่งของ คอมเพรสเซอร์ คือ อุณหภูมิจุด 2 เป็นสถานะของไอร้อนยวดยิ่งจาก P-h ไดอะแกรม อุณหภูมิที่จุด 2 มีค่า 57 C



2.ไซโครเมตตริก ชาร์ท







 แผนภูมิไซโครเมตริก (Psychometric Chart) เป็นแผนภูมิที่บอกถึงรายละเอียดของอากาศที่สภาวะต่าง ๆ เชื่อว่าหลายท่านที่ทำงานในสายงานเครื่องกล เช่น งานปรับอากาศและความเย็นคงจะรู้จักแผนภูมินี้ และการที่เราเข้าใจแผนภูมินี้จะทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติและกระบวนการการเปลี่ยนแปลงของสภาวะของอากาศตลอดจนสามารถนำมาใช้งานและวิเคราะห์แก้ใขปัญหาในงานที่เกี่ยวข้องได้มากยิ่งขึ้น

ความชื้น (Humidity) เราอาจได้ยินคำเหล่านี้มาบ้างแล้ว เช่น อากาศชื้น (Moist Air) หรืออากาศแห้ง (Dry Air) แต่บางทีเราอาจไม่เข้าใจว่าความหมายที่แท้จริงของคำเหล่านี้ว่ามันคืออะไร เรารู้ว่าก่อนฝนตกอากาศจะร้อนอบอ้าวจนเรารู้สึกอึดอัด หรือในหน้าหนาวผิวหนังของเราจะแห้งจนแตกหรือผ้าที่เราตากไว้จะแห้งเร็วกว่าปกติทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิของอากาศต่ำ ทั้งหมดที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเบื้องต้นนั้นเกี่ยวกับความชื้นทั้งสิ้น
ถ้าจะพูดให้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ ความชื้น (Moisture) คือ อัตราส่วนของไอน้ำที่ปะปนอยู่ในอากาศต่อจำนวนอากาศที่อ้างอิง อากาศที่มีไอน้ำปะปนอยู่มากเราเรียกว่าอากาศชื้นหรืออากาศเปียก เช่นลมระบายความร้อนที่ออกมาจากคูลลิ่งทาวเวอร์ (Cooling Townwer) หรืออากาศก่อนที่ฝนจะตกจะมีอัตราส่วนของไอน้ำที่ผสมอยู่ในอากาศมากจึงทำให้เรารู้สึกร้อนอบอ้าวและอึดอัดเพราะเมื่อปริมาณไอน้ำในอากาศมีมากจะส่งผลให้เหงื่อหรือน้ำที่ผิวหนังของเรานั้นระเหยตัวยากจึงทำให้เรารู้สึกร้อนอบอ้าว

ดังที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้างต้นว่าความชื้นคือจำนวนไอน้ำที่ปนอยู่ในอากาศ จากรูปที่ 3 ถ้าเราเอาอากาศจำนวนหนึ่งมากำจัดความชื้นออกให้หมดเราจะเรียกอากาศที่ไม่มีไอน้ำเจือปนอยู่ว่า “อากาศแห้ง (Dry Air)” ดังรูปที่ 3ก จากนั้นถ้าเราค่อย ๆ ปล่อยไอน้ำข้าไปในอากาศดังกล่าวเรื่อย ๆ ดังรูปที่ 3ข เมื่ออากาศมีไอน้ำผสมอยู่เราเรียกอากาศนั้นว่า “อากาศชื้น” ซึ่งหมายถึงอากาศที่มีไอน้ำปะปนอยู่ ซึ่งก็เหมือนกับอากาศในบรรยากาศบนโลกของเรานั่นเอง ในตอนแรกที่เราเริ่มปล่อยไอน้ำเข้าไปผสมปะปนกับอากาศนั้นปริมาณไอน้ำในอากาศจะมีน้อย อากาศจะสามารถรองรับไอน้ำจำนวนดังกล่าวไว้ได้ แต่เมื่อปริมาณไอน้ำเพิ่มไปถึงจุดหนึ่งที่อากาศไม่สามารถรองรับปริมาณไอน้ำดังกล่าวไว้ได้ ไอน้ำส่วนที่เกินก็จะเริ่มกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ ซึ่งเราจะเรียกว่า “จุดอิ่มตัวของไอน้ำในอากาศ” หรือเรียกอากาศที่จุดนี้ว่า “อากาศอิ่มตัว (Saturated Air)” ซึ่งก็คือสภาวะที่อากาศไม่สามารถที่จะดูดซับไอน้ำไว้ในตัวมันได้อีกแล้ว ในแผนภูมิไซโครเมตริกเส้นอากาศอิ่มตัว (Saturated Air Line) คือเส้นโค้งที่อยู่ทางด้านซ้ายของแผนภูมิไซโครเมตริก ดังรูปที่ 4

1.1 อัตราส่วนความชื้น (Humidity Ratio, ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่าความชื้นจำเพาะ (Specific Humidity) คืออัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำในอากาศ (mv) กับมวลของอากาศแห้ง(ma) ที่ปริมาตรอากาศที่พิจารณา ดังสมการที่ 1

 


เช่น สภาวะหนึ่งมีไอน้ำอยู่ในอากาศ 8 กรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 m3 โดยที่น้ำหนักของอากาศแห้ง (ไม่รวมน้ำหนักไอน้ำ) ตรงจุดนั้นเท่ากับ 0.88 kg/m3 ดังนั้นอัตราส่วนความชื้นที่สภาวะดังกล่าวจะเท่ากับ 1/0.88= 9.1 gvapour/ kgDry Air

ในแผนภูมิไซโครเมตริกเส้นอัตราส่วนความชื้น (Humidity Ratio Line) เป็นเส้นที่ลากจากเส้นไอน้ำอิ่มตัว (Saturated Vapor) จากด้านซ้ายมือไปยังด้านขวามือดังรูปที่ 4 โดยที่ค่าอัตราส่วนความชื้นด้านล่างจะน้อยเพราะอุณหภูมิต่ำส่วนที่อุณหภูมิสูงอัตราส่วนความชื้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอัตราส่วนความชื้นที่ปรากฏในแผนภูมิไซโครเมตริกจะเป็นอัตราส่วนมวลของไอน้ำในอากาศเป็นกรัมต่อมวลอากาศแห้งเป็นกิโลกรัม (gvapor/kgDry Air)
 
                                                    

                                        


 Psychrometric chart















































วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อุปกรณ์ควบคุมในระบบทางกล

  1  อุปกรณ์ควบคุมความดันสารทำความเย็น 

   
      - เป็นเครื่องควบคุมสารทำความเย็นจากของเหลว (Liquid line) ไปยังอีวาโปรเรเตอร์
ในอัตราส่วนที่สัมพันธ์กับการระเหยของสารความเย็นเหลวที่เกิดขึ้นในอีวาโปรเรเตอร์

- ควบคุมความแตกต่างของความดันระหว่างความดันสูงกับความดันต่ำของระบบให้พอ

         วาล์วขยายตัวปรับด้วยมือ (Hand expansion valve)

วาล์วชนิดนี้เป็นการปรับด้วยมือโดยใช้มือหมุนวาล์วเข็ม (needle valve) รูป 8.1 อัตราการไหลของสารทำความเย็นที่ผ่านวาล์ว นี้ขึ้นอยู่กับความดันที่แตกต่างกันที่ผ่านช่องวาล์วเข็มและหมุนที่วาล์วเปิดถ้าสมมุติว่าความแตกต่าง ของความดันตรงวาล์วทางผ่านที่คงที่ อัตราการไหลของสารทำความเย็นที่ผ่านวาล์วขยายปรับด้วยมือจะคงที่โดยไม่คิดความดันของอีวาโปรเรเตอร์ หรือภาระของอีโปรเรเตอร์ข้อเสียเปรียบของวาล์วปรับด้วยมือ คือ สามารถเปลี่ยนได้ตามภาระของระบบ เพราะฉะนั้นต้องปรับทุกครั้งเมื่อภาระ ของระบบเปลี่ยน เพื่อป้องกันสารทำความเย็นที่เข้าไปยังอีวาโปรเรเตอร์ น้อยเกินไปหรือมากเกินไป และนอกจากนี้วาล์วขยายตัวปรับด้วยมือทุกครั้งที่เครื่องอัดทำงานและหยุดทำงาน

ดังนั้นจะเห็นว่าวาล์วขยายตัวปรับด้วยมือเหมาะสมที่จะใช้กับระบบใหญ่ ซึ่งมีภาระคงที่ แต่ถ้าภาระของระบบเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาจจะใช้วาล์วขยายตัวแบบอัตโนมัติ หรือแบบอื่น ๆ

   วาล์วขยายตัวแบบอัตโนมัติ (Automatic expansion valve)หน้าที่ของวาล์วขยายตัวแบบอัตโนมัติ คือ รักษาความดันในอีวาโปรเรเตอร์ให้คงที่โดยสารความเย็นที่มากเกินไปเกินไปหรือน้อยเกินไปที่
อีวาโปรเรเตอร์จะเป็นการเปลี่ยนภาระของอีวาโปรเรเตอร์ ความดันคงที่ของวาล์วชนิดนี้เป็นผลปฏิกิริยาที่เกิดจากแรง 2 แรงในทางตรงกันข้ามกัน

(2) คามดันสปริง(Spring pressure) ความดันของอีวาโปรเรเตอร์จากด้านใต้ (bellow) หรือไดอะแฟรมที่จะทำให้ลิ้นปิด ในขณะที่ความดันของสปริงด้านตรงข้าม (bellow) หรือไดอะแฟรมที่จะทำให้ลิ้นเปิดเมื่อเครื่องอัดทำงานวาล์วขยายตัวอัตโนมัติ จะทำหน้าที่รักษาความดันของอีวาโปรเรเตอร์ให้สมดุนกับความดันของสปริงดังรูป 8.2

 
 

           2. อุปกรณ์ป้องกันความดันสูง/ต่ำ


 

                  ลิ้นลดความดันหรืออุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหล (Expansion Valve)

ลิ้นลดความดันหรืออุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหล (Expansion Valve) : ใช้ติดตั้งในระบบเพื่อควบคุมปริมาณสารทำความเย็นและลดความดันของสารทำความเย็นที่จะเข้าเครื่องระเหยน้ำยาอาจจะเป็นชนิดปรับด้วยมือ ชนิดอัตโนมัติ ชนิดควบคุมด้วยความร้อน ชนิดลูกลอย รวมทั้งชนิดท่อรูเข็ม เป็นต้น ในการศึกษาเพื่อทดสอบการทำงานของลิ้นลดความดัน จะเลือกใช้ลิ้นลดความดันชนิดควบคุมด้วยความร้อนที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศรถยนต์เป็นตัวอย่างสำหรับการทดสอบ
 
                  
ลิ้นลดความดันหรืออุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหล (Refrigerant Control)
 
 
 
  
 
 
          

 
              วาล์วลดความดัน ( EXPANSION VALVE )

วาล์วลดความดันทำหน้าที่ลดความดันของน้ำยาแอร์ให้ต่ำลงมาเมื่อน้ำยาแอร์มีความดันต่ำก็จะทำให้
อุณหภูมิของน้ำยาแอร์ต่ำลงมาด้วย จากนั้นก็จะส่งผ่านน้ำยาแอร์เข้าไปสู่คอยล์เย็นต่อไป


 
 
 
 
 
 
 
 

      3.อุปกรณ์ป้องกันน้ำมันเข้าระบบ

       

                                    
 
        การทำท่อ Oil Trap ดักน้ำมันในระบบเครื่องปรับอากาศ

หลายคนที่ต้องติดตั้งแอร์ในกรณีคอยล์ร้อนสูงกว่าคอยล์เย็น อาจจะสังเกตุเห็นช่างแอร์ทำท่อแอร์ในลักษณะ ดัดเป็นรูปคอห่าน หรือที่เรียกกันว่าการทำ Oil Trap - Trap(แทรพ) ท่อแอร์ ซึ่งการทำ Trap ในงานติดตั้งระบบเครื่องปรับอากาศ อาจจะเรียกได้หลายชื่อ เช่น กับดักน้ำมันคอมเพรสเซอร์,ท่อดักน้ำมัน,แทรพดักน้ำมัน,ท่อคอห่าน หรือเรียกชื่ออื่นๆที่สื่อความหมายออกมาเหมือนกัน แล้วแต่ศัพท์ช่างแต่ละคน

ซึ่งการทำ Oil Trap ในงานติดตั้งเครื่องปรับอากาศ นิยมทำเป็น 2 รูปแบบหลักๆ ตามลักษณะที่ทำ คือท่อ Trap แบบ U-Trap และ แบบ P-Trap และอาจจะประยุกต์ไปเป็นแบบ S-Trap หรือรูปแบบอื่นๆ ตามแต่ช่างผู้ติดต่างเห็นสมควร


สาเหตุที่ต้องทำท่อ Trap ในกรณีที่วางคอยล์ร้อนในตำแหน่งสูงเหนือคอยล์เย็น เนื่องจากอธิบายง่ายๆตามกฎของธรรมชาติ ที่กล่าวว่า "ของเหลวทุกชนิดจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ" ในระบบเครื่องทำความเย็นก็เช่นกัน น้ำมันที่อยู่ในคอมเพรสเซอร์อยู่ในสถานะของเหลว ซึ่งน้ำมันในคอมเพรสเซอร์ มีหน้าที่ในการระบายความร้อนให้คอมเพรสเซอร์ และ หล่อลื่นระบบทางกลหรือกลไกลในคอมเพรสเซอร์ ในกรณีที่เครื่องทำงาน การดูดอัดสารทำความเย็นของคอมเพรสเซอร์ จะอัดน้ำมันที่อยู่ในตัวออกมาพร้อมสารทำความเย็นมาทางท่อทางอัด และดูดกลับเข้าไปในคอมเพรสเซอร์ทางท่อทางดูด ในการติดตั้งโดยวิธีให้ชุดคอยล์ร้อนวางในตำแหน่งต่ำกว่าคอยล์เย็น น้ำมันหล่อลื่น ย่อมไหลกลับสู่คอมเพรสเซอร์ตามแรงดึงดูดอย่างง่ายดาย แต่หากการติดตั้งที่ต้องวางคอยล์ร้อนให้สูงเหนือคอยล์เย็น ถ้าหากไม่มีการทำท่อดักน้ำมันไว้น้ำมันก็จะไหลลงได้เช่นกันเพราะในระบบท่อนั้นเป็นสูญญากาศ แต่การไหลกลับจะไหลกลับไม่ทันต่อการระบายความร้อน เนื่องจากน้ำมันมีความหนืดและน้ำหนักมากกว่าสารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นแก๊สในท่อทางดูด ทำให้การระบายความร้อนทำได้ไม่ดี มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ร้อนจนถึงร้อนจัด

ตามทฤษฎีหรือตำรา มักกล่าวไว้ว่า ในกรณีความสูงที่แตกต่างกันไม่เกิน 10ฟุต ก็ไม่จำเป็นต้องทำท่อดักน้ำมัน แต่โดยส่วนตัวหากมีระยะความสูงระดับเกิน 3-5ฟุต ขอแนะนำให้ทำ และช่างแอร์ส่วนใหญ่ก็ย่อมแนะนำให้ทำเช่นกัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยยืดอายุการใช้งานให้คอมเพรสเซอร์ เพราะอย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ว่า คอมเพรสเซอร์เป็นหัวใจหลักของเครื่องปรับอากาศ และมีราคาประมาณ 30-40% ของเครื่องปรับอากาศทั้งชุดเพราะการทำท่อ Trap ดักน้ำมัน แต่หากเป็นระยะความสูงที่ไม่แตกต่างกันมาก ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำท่อดักน้ำมันหล่อลื่นแต่จะมีวิธีติดตั้งท่อให้มีความลาดเอียงออกจากคอมเพรสเซอร์ไม่น้อยกว่า 1/2 นิ้ว ในระดับความยาวท่อในแนวนอน ในกรณีที่วางคอยล์ร้อนไว้สูงเหนื่อคอยเย็น
ซึ่งในส่วนเรื่องที่ละเอียดอ่อนเล็กๆน้อยๆบางครั้งหลายคนอาจจะมองข้ามไป ทำให้เป็นผลเสียที่เกิดในระยะยาว อายุการใช้งานที่สั้นลงกว่าที่ควรเป็น จึงควรให้ความสำคัญในการดูแลรักษาให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานในระยะเวลาที่เหมาะสม

 
  
 
 
 

        4. ป้องกันน้ำเเข็งอุดตันในระบบ

                  
                      
                หมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำเพราะสาเหตูที่ทำใหเกิดน้ำเเข็งอุดตันในระบบ  เพราะฝุ่นที่ไปอุดตันในระบบจะทำไห้ระบายความเย็นออกจากระบบไม้ได้จึงทำไห้เกิดเป็นน้ำเเข็ง
 
 
 
 
 
 
 
  

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ

คอยล์เย็นคืออะไร

คอยล์เย็น หรือ Evaporator คือส่วนประกอบของแอร์ อีกอย่างหนึ่งที่เราเห็นอยู่ภายในตัวอาคาร คุณสงสัยไหมว่า คอยล์เย็นคืออะไร ทำหน้าที่อะไร มีหลักการทำงานอย่างไร
คอยล์เย็นหรือ Evaporator[/caption]
หน้าที่ของคอยล์เย็นคือทำให้น้ำยาแอร์หรือสารทำความเย็นเกิดการเดือดภายในท่อ และทำให้ของไหลที่ผ่านด้านนอกท่อเย็นตัวลง ซึ่งคอยล์เย็นแบบนี้มีชื่อเรียกว่า คอยล์เย็นแบบขยายตัวโดยตรง ซึ่งภายในคอยล์เย็นจะมีท่อที่ติดตั้งครีบระบายความร้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

คอมเพรสเซอร์แอร์แบบลูกสูบ

คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบนั้นเป็นหนึ่งในคอมเพรสเซอร์แอร์ประเภทต่างๆที่เคยกล่าวมา และคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในแอร์บ้าน ในปัจจุบัน คุณรู้หรือไม่ว่ามันทำงานอย่างไร และมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร  วันนี้เรามาทำการศึกษาเกี่ยวกับคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบกันครับ
คอมเพรสเซอร์แอร์บ้านแบบลูกสูบ
คอมเพรสเซอร์แอร์บ้านแบบลูกสูบ
คอมเพรสเซอร์แอร์แบบลูกสูบนั้นสามารถแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ
  1. คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบมาตรฐาน หมายถึงคอมเพรสเซอร์ ที่มีส่วนประกอบคล้ายกับเครื่องยนต์ กล่าวคือ ลูกสูบของคอมเพรสเซอร์จะเคลื่อนที่ไปในแนวเส้นตรงภานในกระบอกสูบ เป็นการดูดหรืออัดแก๊ส ลูกสูบต่ออยู่กับก้านลูกสูบและเพลาข้อเหวี่ยง
  2. คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบสวอชเพลท เป็นคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบที่มีโครงสร้างต่างไปจาก คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบมาตรฐาน ในแบบสวอชเพลท
คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบมีข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดีของคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ
  • มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมานานทำให้ช่างผู้ติดตั้งสามารถเดินระบบได้อย่างชำนาญ
  • สามารถใช้ในระบบเครื่องปรับอากาศที่มีการเดินท่อระหว่างแฟนคอยล์และคอนเด็นซิ่งไกลๆ
  • มีขนาดให้เลือกใช้กว้างตั้งแต่ 1/20 แรงม้าถึง 50 แรงม้า
  • มีความคงทนสูง
ข้อเสียของคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ
  • ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ไม่ประหยัดพลังงาน
  • มีเสียงดัง
  • ต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยสตาร์ท ( รุ่น 220 V/1Ph/50Hz)
ข้าต้นเป็นข้อมูลคล่าวๆเกี่ยวกับ คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ ถ้าท่านสนใศึกษาข้อมูลเชิงลึกควรหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงมาศึกษาครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  • คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ
  • ส่วนประกอบของแอร์
  • คอมเพรสเซอร์แอร์
  • ส่วนประกอบแอร์
  • ส่วนประกอบของคอมเพรสเซอร์แอร์
  • คอมเพรสเซอร์แอร์แบบลูกสูบ
  • โครงสร้างคอมเพรสเซอร์
  • คอมเพรสเซอร์แบบสวอชเพลต
  • คอมแอร์แบบลูกสูบ
  • คอมเพรสเซอร์ลูกสูบ

คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit คืออะไร

คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit ที่เราเห็นเป็นตู้สี่เหลี่ยมมักวางอยู่ภายนอกอาคารนั้นคืออะไร ทำหน้าที่อะไร มาทำความรู้จัก คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit กันครับ
คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit
คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit
คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit คือ ส่วนประกอบอย่างหนึ่งของแอร์แบบแยกส่วนหรือ Split Type Air condition ทำหน้าที่ระบายความร้อนที่เกิดจากการอัดน้ำยาแอร์ของ Compressor ผ่านคอยล์ร้อนร้อนหรือ Condenser ซึ่งมัลักษณะเป็นท่อท่อแดงขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1/4-1/2 นิ้ว ขดไปมาเป็นแผงอยู่ภายใน Fincoil ก็คืออลูมิเนียมแผ่นเล็กๆเรียงซ้อนกัน ช่วยระบายความร้อนอีกทางหนึ่ง นอกจากพัดลมระบายอากาศ
คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit นั้นมีหลายลักษณะ หลายรูปแบบ แล้วแต่ผู้ผลิตและลักษณะการติดตั้ง ที่เราเห็นกันบ่อยๆก็เป็นแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ พัดลมเป่าออกด่านข้าง และยังมีแบบเป่าขึ้นด้านบน ที่ทำมาเพื่อติดตั้งในที่ไม่เอื้ออำนวยให้ติดตั้ง คอยล์ร้อนหรือ Condensing แบบเป่าข้าง หรือต้องการซ่อนไม่ให้เห็น เพื่อความสวยงาม
คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit ประสอบด้วยส่วนย่อยดังนี้
1.Casing หรือ ฝาครอบ และหน้ากากแอร์
2.Control box หรือ ชุดควบคุมการทำงานของคอร์ยร้อน
3.Condensing Fan หรือ พัดลมระบายอากาศ
4.Condenser หรือ แผงคอร์ยร้อน
5.Compressor หรือ เครื่องอัดไอ
ที่กล่าวคือความรู็เบื้องต้นเกี่ยวกับ คอยล์ร้อนหรือ Condensing unit ที่เราควรรู้ไว้ เผื่อมีปัญหาจะได้แก้ปัญหาเบื้องต้นได้ครับ แต่ถ้าแก้ด้วยตัวเองไม่ได้ควรติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญนะครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  • คอยล์ร้อน
  • condensing unit คือ
  • คอยล์ร้อน คือ
  • condenser คือ
  • condensing
  • ส่วนประกอบแอร์บ้าน
  • condenser คืออะไร
  • คอยล์ร้อนแอร์
  • condensing unit คืออะไร
  • condensing unit

น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น

น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น เป็นส่วนสำคัญในระบบปรับอากาศ ที่จะช่วยให้แอร์สามารถ ปรับอากาศในห้องนั้นได้ สารทำความเย็นนั้นคืออะไร มีหน้าที่อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง มาดูกันครับ
น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น
น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น
สารทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์ มีส่วนผสมระหว่าง ฟลูออรีน, คลอรีน และมีเทน ซึ่งมีสัดส่วนแตกต่างกันไปตามประเภทของน้ำยานั้นๆ เช่น R-11,R-12, R-22,R-134A, R-407C น้ำยาเหล่านี้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวห้ามนำเอามาผสมกันเด็ดขาด ในปัจจุบันน้ำยา R-11, R-12, R-22 ได้ถูกลดจำนวนการผลิตลงและจะยกเลิกในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมันมีส่วนทำลายชั้นบรรยากาศ หรือ โอโซนนั้นเอง โดย R-12 จะถูกแทนด้วยน้ำยา R-134A และ R-22 ถูกแทนด้วย R-407C เป็นต้น
น้ำยาแอร์ที่มีจุดเดือดต่ำจะใช้ในการทำความเย็นที่อุณหภูมิต่ำ และสารทำความเย็นที่มีจุดเดือดสูงจะถูกใช้ในทำความเย็นที่อุณหภูมิสูง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แอร์ สำหรับชนิดที่นิยมใช้กันมากที่สุดสำหรับ แอร์บ้าน ก็คือ R-22 (Freon-22) โดยมีจุดเดือดอยู่ที่ -40.8 ‘C
สารทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์ ที่ใช้กันในปัจจุบันสำหรับ แอร์บ้าน ทั่วไป เป็นสารจำพวก CFCs (Chloro Fluoro Carbons) ซึ่งมีคุณสมบัติคือ ไม่มีพิษ ไม่มีกลิ่น และความถ่วงจำเพาะของสารในสถานะก๊าซจะหนักกว่าอากาศ โดยที่สารเหล่านี้จะมีจุดเดือดที่ต่ำกว่าสารทั่วไป จึงถูกนำมาใช้ในการทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์นั่นเองครับ
สารทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์ มีหลายชนิดและหลายยี่ห้อในท้องตลาด  สามารถเลืกซื้อเลือกหาตามต้องการ หรือติกต่อทางร้านของเราได้เลยครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  • น้ำยาแอร์
  • น้ำยาแอร์ r22
  • สารทําความเย็น
  • ราคาน้ํายาแอร์ในการถ่ายเทความร้อน คอยล์เย็นแบบขยายตัวโดยตรงที่ใช้งานกับระบบปรับอากาศ จะควบคุมอัตราการไหลของน้ำยาแอร์หรือสารทำความเย็นโดยวาล์วขยายตัว เพื่อให้ไอสารทำความเย็นที่ออกจากคอยล์เย็นมีสภาวะเป็นไอร้อนยิ่งยวด
แต่ยังมีคอยล์เย็นอีกแบบหนึ่ง คือ แบบที่ทำให้สารทำความเย็นเหลวไหลเวียน หรือ ถูกดูดเข้าไปยังคอยล์เย็นที่ความดันและอุณหภูมิต่ำเป็นจำนวนมากอย่างเหลือเฟือ ซึ่งของเหลวบางส่วนจะเดือดไปในคอยล์เย็น แต่ยังคงเปียกและท่วมอยู่ที่ปากทางออก ส่วนที่เป็นของเหลวจะถูกแยกออก ยังคงเหลือเฉพาะส่วนที่เป็นไอไปเข้าคอมเพรสเซอร์ ในระบบทำความเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ มักจะใช้คอยล์เย็นแบบนี้ เนื่องจากมีข้อได้เปรียบที่มีผิวภายในเปียกตลอดทั้งคอยล์เย็น และประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนสูงกว่า
หน้าที่ของคอลย์เย็นก็มีแค่นี้ครับ ส่วนข้อมูลเชิงลึกนั้นจะไม่ขอพูดถึงนะครับ ใครสนใจข้อมูลที่ลึกกว่านี้ ก็หาหนังสือมาศึกษาต่อครับ เพราะมันยาวมากๆ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  • คอยล์เย็น
  • คอล์ยเย็น
  • คอยล์เย็น คือ
  • evaporator คืออะไร
  • ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ
  • ส่วนประกอบของแอร์บ้าน
  • คอยล์เย็นคือ
  • ราคาคอยล์เย็นแอร์บ้าน
  • ปัญหาแอร์บ้าน
  • คอยเย็น คือ

คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่

คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่เป็นคอมเพรสเซอร์แอร์ชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ทำงานอย่างไร แตกต่างจากคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบอย่างไร มาลองศึกษากันดูครับ
คอมเพรสเซอร์แอร์บ้านโรตารี่
คอมเพรสเซอร์แอร์บ้านโรตารี่
คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่ เป็นการออกแบบที่จะไม่มีลูกสูบในคอมเพรสเซอร์ แต่จะใช้สิ่งที่คล้ายๆใบพัดที่จะหมุนอยู่ภายในคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่ เพื่อที่จะนำพาน้ำยาแอร์เข้าทางด้าน Suction และผลักออกมาทางด้าน Discharge. (โดยปกติน้ายาแอร์ในด้าน suction จะเป็นก๊าซ และเมื่อส่งผ่านให้ออกไปทางด้าน discharge ก็จะมีความดันมากขึ้น หลังจากนั้นน้ำยาแอร์สถานะก๊าซ ก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวอีกครั้งเมื่อผ่าน condensor อันนี้เป็น concept ของหน้าที่คอมเพรสเซอร์ครับ)
ข้อดีของคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่
จากผลการทดลองของเมืองนอก โรตารี่สามารถสร้างความเย็นได้มากสุด โดยเทียบความจุต่อปอนด์ของคอมเพรสเซอร์ขนาดเท่ากันครับ
ข้อเสียของคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่
ซ่อมยาก หรือซ่อมไม่ได้เลยสำหรับช่างครับ แต่ถ้าเป็นคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบก็จะซ่อมได้ง่ายกว่าครับ
แอร์ทุกเครื่องมีคอมเพรสเซอร์อยู่ภายใน ยุคแรกๆมีเฉพาะคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ แต่ในปัจจุบัน คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่ และคอมเพรสเซอร์แอร์แบบสโกล์ โดยทั่วไป คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่จะทำงานเงียบและกินไฟน้อยกว่า จึงได้รับความนิยมมากขึ้น แต่จะมีขนาดจำกัด ส่วนคอมเพรสเซอร์แอร์แบบสโกล์ รุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม และมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นคอมเพรสเซอร์รุ่นใหม่ๆยังมักจะออกแบบให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ปรับรอบหรืออินเวอร์เตอร์ด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  • คอมเพรสเซอร์ แบบ ลูกสูบ
  • คอมเพรสเซอร์ แบบ โรตารี่
  • คอมเพรสเซอร์ แบบโรตารี่
  • ส่วนประกอบคอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่
  • ชนิดคอมเพรสเซอร์
  • หลักการทํางาน คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่
  • คอมโรตารี่
  • คอมเพรสเซอร์โรตารี่ คือ
  • คอมแอร์แบบโรตารี่
  • คอมแอร์โรตารี่